กิจกรรม

⭐️จากอจ ถึงทุกๆท่าน🦋ตอนนี้ข่าวแผ่นดินไหวกระจายไปทั่ว กรุงเทพก็เจอสภาวะเช่นกัน พวกเราอยู่ในโลกที่มีความไม่แน่นอน ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอนะครับ ความเปลี่ยนแปลงแก่ เจ็บป่วย ตาย บางคนมีคอนโดสูง มีรอยร้าว บางคนเข้าคอนโดไม่ได้ กลัวafter shock จะเกิดตามย้อนหลัง ลูกศิษย์บางคนทำงานบนตึกสูง วิ่งหนีตายลงมาเบียดเสียดกัน…..

✅ทุกอย่างไม่เที่ยงนะครับเปลี่ยนแปลง เกิดได้เสมอ สิ่งที่เราเรียนมา สติจำเป็นทุกที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ มีสติและมีสมาธิตั้งหมั้น แยกจิตออกจากความกลัวความตกใจ ความกังวลความเครียด แล้วกลับมาตั้งมั่นรู้ทันอารมณ์ที่ฐาน ถ้าเราไม่จมกับอารมณ์แล้ว เราจะมีสติรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นในปัจจุบัน แล้วจะมีสัมปชัญญะหาทางแก้ไข มีปัญญาอยู่กับทุกข์โดยไม่จมกับอารมณ์ เราจะรอดพ้นจากวิกฤตได้ ด้วยปัญญานะครับ

📌หากเราต้องเดินไกลไม่มีรถ รถไฟฟ้าก็ไม่ทำงานถนนก็ติด ให้มีสติแยกรูปแยกนามนะ ถ้าไม่มีเรา ร้อนและเหนื่อยก็ไม่ใช่ของเรา เราก็ก็จะมีสติรู้ตัวเดิน เราเดินแต่เดินจงกรมเดินด้วยความรู้สึกตัว

✅นำเอาธรรมะมาใช้นะครับ ทุกข์เป็นเรื่องปกติของโลก หนีไม่พ้นมีเหตุมีปัจจัยมันก็เกิด

⭐️📌อาจารย์ และทีมงานไตรสิกขาเพชรบุรี ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนด้วยนะครับ ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี ให้ทุกคนปลอดภัย

📌และสิ่งที่สำคัญอย่าลืมเอาการบ้านอาจารย์ไปใช้ขณะที่เจอวิกฤตนะครับ แล้วเราจะผ่านพ้นไปได้ แต่เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อไม่ให้มีปัญหาเพื่อไม่ให้มีวิกฤติ แต่ปฏิบัติเพื่ออยู่กับวิกฤตและปัญหาและทุกข์ได้ดีด้วยปัญญา เดี๋ยวทุกอย่างก็จะผ่านไปนะครับ

🙏🏻อาจารย์ขอบุญที่ได้สร้างมา ขอบารมีพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ จงปกปักรักษาพวกเราทุกคน ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติและสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ขอทุกคนจงอยู่รอดปลอดภัย และแล้วก็ขอให้มีธรรมะรักษาทุกคนนะครับ

❤️ด้วยความห่วงใย จากจิตอาจารย์วิลลี่และทีมงานศูนย์สิขาเพชรบุรี

คอลัมน์ "ถามธรรม กับหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชุโช"

“โยม : นมัสการหลวงพ่อครับ ผมส่งการบ้านมาหลายครั้ง ก็ยังตื่นเต้นอยู่เหมือนเดิม ความตื่นเต้นมานี่ มันยังไม่หายเลยครับ
หลวงพ่อ : ห้ามมันไม่ได้หรอก จิตมันเป็นอนัตตา
โยม : ทีนี้ การปฏิบัติที่จะมาส่งก็คือ เวลาผมทำสมาธิ แล้วผมก็สังเกตไปเรื่อยๆ ว่าอะไรปรากฎก็รู้มันๆ ทีนี้สักพักหนึ่ง มันไม่มีอะไรปรากฎ มันเงียบๆ
หลวงพ่อ : เงียบปรากฎล่ะ
โยม : ใช่ๆครับ ความเงียบปรากฎ ตรงนี้ ผมเคยถกกับคุณหมอท่านหนึ่ง คุณหมอบอกว่าจิตสงบแล้ว ผมบอกว่า คิดเรื่องเงียบ ผมมีความรู้สึกว่าคิดเรื่องเงียบอยู่
หลวงพ่อ : เงียบปรากฎนะ
โยม : แล้วความเงียบ ผมก็ดูต่อไป ดูไปแล้วก็ไม่เงียบอีกแล้ว
หลวงพ่อ : ใช่ มันก็ไม่เที่ยง
โยม : แต่มันก็นานพอสมควร คือ ถ้ามันเป็นอย่างนี้บ่อยๆ เวลาที่มันเงียบ มันจะยิ่งนานขึ้นๆ
หลวงพ่อ : ก็ออกจากสมาธิแล้ว อยู่ในโลก ก็เจริญสติในชีวิตประจำวันให้มาก เท่านั้นแหละ
โยม : คราวนี้เวลาออกจากสมาธิน่ะครับ แล้วมีสติอัตโนมัติขึ้นมา เวลาที่สติอัตโนมัติค้างอยู่ มันรู้สึกได้ว่านานกว่าเดิม
หลวงพ่อ : ถ้าจิตทำสมาธินะ จิตที่ทรงฌานเนี่ย สติอัตโนมัติจะอยู่นาน
โยม : อย่างนั้นเรียกว่าฌานหรือครับ
หลวงพ่อ : ถ้าจิตเข้าไปอยู่ในความนิ่ง ความว่าง ความไม่มีอะไร รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ ก็เข้าสมาธิที่ละเอียดเข้าไปแล้วล่ะ
โยม : อีก ๒ ประเด็นนะครับ คือเวลา อย่างเหตุการณ์เมื่อคืนนี้เอง ขณะที่กำลังทำงานอยู่แล้วมันหงุดหงิดขึ้นมา ก็ดูมันไป สังเกตไปเรื่อยๆ ปรากฎว่า ความหงุดหงิดหายไปแล้ว แต่มันยังร้อนอยู่
หลวงพ่อ : อื้อ.. วิบาก กิเลส กิเลสเกิดนะ จิตก็กระทำกรรม จิตกระทำกรรมก็ต้องมีวิบาก ตรงหงุดหงิดนะก็เป็นกิเลส แล้วผลักดันให้จิตเราดิ้นรน ก็ต้องรับวิบากอีกช่วงแหละ
โยม : สภาพที่แยกธาตุแยกขันธ์อย่างนั้น ใช่มั้ยครับ แต่มัน มันไม่ได้แยกได้ตลอดเวลา
หลวงพ่อ : ไม่เป็นไร เวลาเราทำความสงบเนี่ย ไม่ต้องแยกธาตุแยกขันธ์ เวลาเผลอ ไม่ได้แยกธาตุแยกขันธ์ เวลาที่จิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนะ ก็แยกธาตุแยกขันธ์ได้ มันไม่ได้เป็นตลอดนะ
โยม : ในระหว่างที่ผมกำลังสังเกต ความหงุดหงิด ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง รู้สึกว่า มีเรา(หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ..)กำลังดูมันอยู่(หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ..)
หลวงพ่อ : ดีที่เห็นนะ แสดงว่ายังไม่ใช่พระโสดาบัน ถ้าเป็นพระโสดาบันจะเห็นว่า ธรรมชาติรู้เป็นคนดูอยู่ ไม่ใช่เราดูละ
โยม : แต่ว่าเราไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา
หลวงพ่อปาโมทย์ : ไม่อยู่ตลอด
โยม : เวลาผมเผลอ เราหายไป
หลวงพ่อ : เออ.. สักกายทิฎฐิก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน ความเห็นว่าเป็นเรา เป็นชั่วคราว เกิดเป็นคราวๆ
โยม : ผมขออีกนิดนะครับ คือ เวลาที่เรานอนหลับสนิท แล้วตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกว่าโลกปรากฎ ทีนี้ตอนหลับสนิท สนิทจริงๆครับ ไม่มี ตรงนี้ ตรงกับที่ผมศึกษา คือว่า ตรงนี้ขออนุญาตนิดนึงครับ คือ ผมเคยอ่านเจอในพระอภิธรรมว่า เทวดาถามพระพุทธเจ้าว่า โลกมีอะไรนำไป โลกปรากฎได้อย่างไร ผมเข้าใจความหมายทำนองนี้ ใช่มั้ยครับ ผมเข้าใจถูกแล้ว? อีกอันหนึ่งนะครับ
หลวงพ่อ : หา ทำไมเยอะนักล่ะ คนอื่นเขาจะประท้วงหรือเปล่า หือ..
โยม : ครับ ต้องขอโทษด้วยครับว่า ผม.. ต้อง.. ให้ความรู้กับเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน ป้องกันไม่ให้เกิดมิจฉาทิฎฐิ คือเมื่อกี๊ผมฟังที่หลวงพ่อพูดตอนเริ่มต้น บอกว่า ถ้าเราไปมั่นใจว่าตายแล้วเกิด เป็นมิจฉาทิฎฐิ ตรงนี้หมายความว่า เราต้องมั่นใจว่า ไม่มีพระอรหันต์ใช่มั้ยครับ ถึงจะเรียกว่าไม่เป็นมิฉาทิฎฐิ
หลวงพ่อ : ไม่ใช่ พวกเราตอนนี้ต้องคิดว่ามีพระอรหันต์ไว้ก่อน แต่พระอรหันต์ท่านไม่ได้คิดว่าท่านเป็นพระอรหันต์หรอก ของเรามันยังมี
โยม : อย่างนี้แสดงว่า ที่ผมกำลัง ตอนนี้อย่างที่ผมกำลังพูดกับลูก ผมบอกว่า ผมมั่นใจว่าตายแล้วเกิด อย่างตัวผม ผมมั่นใจว่าตายแล้วเกิด อย่างนี้เป็นมิจฉาทิฎฐิมั้ยครับ
หลวงพ่อ : ถ้าพูดกับลูกก็พูดโดยอนุโลมเอา เอาแบบนั้นก่อนนะ คือ มันจะเห็นแจ้งต่อเมื่อเห็นว่า ปัจจุบันนี้ ไม่มี ปัจจุบันนี้ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา ไม่มีเขา ก็ปัจจุบันยังไม่มีเลย ตายแล้วจะมีหรือไม่มีอย่างนี้ ถ้ามีเหตุก็เกิด ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มี ถ้ามีเหตุขันธ์ก็เกิดสืบทอดไป ถ้าไม่มีเหตุขันธ์ก็ไม่เกิดสืบทอดไป ถ้าพูดให้ถูกก็ต้องพูดอย่างนั้น แต่ว่าสอนเด็กไม่ได้ มันยากไป ถ้าสอนลูกก็บอกว่า ตายแล้วเกิด สอนอย่างนี้ไปก่อน
โยม : ขอบคุณมากครับ
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
http://www.dhamma.com/en/ and
http://www.trisikkhameditationcenter.org/